จงกลัวเมีย แล้วจะมีชีวิตที่ดี!
พี่เหม็งยืนต้อนรับพวกเราอยู่หน้าบ้านด้วยรอยยิ้ม welcome เป็นกันเอง อารมณ์ประมานรุ่นพี่ปี 4 มาดร็อคแลดูอบอุ่น กำลังเตรียมรับน้อง ๆ เฟรชชี่เข้ามหาลัยฯ
ยังไม่ทันเอ่ยปากทักทาย ก็สามารถสัมผัสได้เลยว่าการมาเยือนรุ่นพี่แห่งวงการ startup ครั้งนี้ต้องเด็ดแน่ แล้วขอยืนยันได้เลยว่าเป็นเช่นนั้นจริง เพราะคำตอบจากคำถามแรกที่ยิงไป ซึ่งสาบานได้เลยว่าไม่ได้ตั้งใจจะกวน
“แนะนำตัวยังไงให้พวกเรารู้จักพี่ครับ?”
พี่เหม็งตอบอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า
“กลัวเมีย!”
นอกจากจะได้ความรู้ด้านการเงินและการลงทุน ยังได้ปรัชญากลับบ้านอีกว่า หากมีครอบครัว เมื่อบอสใหญ่(ภรรยา)มีความสุข ครอบครัวย่อมสุขตาม— คำพูดที่เคยได้ยินว่า Happy wife, happy life คงจะไม่เกินจริง
เท่าที่เดาใจความจากพี่เหม็งได้ในภาพกว้าง คือหากเปรียบการลงทุนเหมือนการหาพ่อหรือแม่ยอดดวงใจ ที่จะมาเป็นคู่ร่วมชีวิตสร้างครอบครัว โดยเปลี่ยนตัวแปรจากการใช้ “ใจ” เป็นการใช้ “เงิน” ก็ดูจะมีความคล้ายกันไม่น้อย
การลงทุนในความรักต้องใช้ใจ ส่วนการลงทุนในการเข้าซื้ออะไรสักอย่างต้องใช้เงิน
ต่อมาการหาคู่ชีวิตที่เหมาะสม ต้องใช้เวลาจนรู้จักเขาให้มาก ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการทำความรู้จักให้คุ้นเคยในสิ่งที่กำลังจะลงทุน
พี่เหม็งยกตัวอย่างประสบการณ์ของตัวเองว่าเคย day trade และฟังนักวิเคราะห์จะเจ๊งเกือบตลอด สุดท้ายจึงตัดสินใจหันมาเชื่อตัวเอง ซึ่งเชื่อตัวเองในที่นี้ ไม่ใช่การยกอีโก้มาเป็นตัวนำอย่าง “ฉันมันแน่ ฉันมันเก่ง” แต่เป็นการเชื่อในสิ่งที่เราชอบและคุ้นชินกับมัน
หุ้นสามตัวที่พี่เหม็งยกตัวอย่างให้พวกเราฟัง คือหุ้น Citibank, Apple กับ Facebook
พี่เหม็งเล่าว่าช่วงที่หุ้นตกหนัก ๆ ในสมัยก่อน ตอนนั้นทำงานอยู่ที่ Citibank และหุ้นของทางบริษัทนั้นตกหนักมาก แต่ด้วยความที่ชอบบริษัทตัวเอง มีความคุ้นเคย ประกอบกับดูข้อมูลต่าง ๆ แล้วพบว่ามันไม่ได้แย่อะไรนี่หว่า จึงตัดสินใจ “ไล่เก็บ” หุ้นของบริษัทจนถึงจุดต่ำสุด
สุดท้ายราคากลับตัว ยูเทิร์นทะยานขึ้นสู่ดวงดาว ได้กำไรมาเลยลงต่อกับหุ้น Apple ซึ่งโดยส่วนตัวชื่นชอบ Steve Jobs เป็นทุนเดิม รวมถึงโปรดักต์ต่าง ๆ ของ Apple เลยรู้สึกว่ามันใช่! จึงตัดสินใจลงกับหุ้น Apple และได้กำไรในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง
ลำดับต่อมา พี่เหม็งได้ไปสอยหุ้น Facebook ตอน IPO วันแรก เพราะตัวเองชอบใช้ Facebook อยู่แล้ว โดยการนำกำไรจากหุ้น Apple ไปซื้อหุ้น Facebook แล้วถือจนราคาไต่สูงขึ้น นำมาซึ่งกำไรเหนาะ ๆ
มาถึงจุดนี้ขอแอบขัดนิดนึง ว่ากรุณาอย่ารีบไปซื้อหุ้นทั้งสามตัวนี้ เพราะทางเราไม่ได้กำลังจะใบ้ทางอ้อมว่าต้องซื้อหุ้นเหล่านี้ แต่ที่จะสื่อคือ “เชื่อในสิ่งที่ใช้หรือบริโภค” ซึ่งพี่เหม็งมี ความชอบ ความรู้ รู้สึกคุ้นเคยกับมัน จึงสามารถเข้าซื้อได้ด้วยใจที่สามารถ “นอนหลับสบายได้ตอนกลางคืน”
ทั้งนี้ สิ่งที่ไม่ควรคือ อย่าใช้เงินร้อนในการลงทุน ต้องเป็นเงินเย็นที่ถ้าไม่ได้มีเจ้าก้อนนี้ก็อยู่ได้ชิล ๆ หรือเป็นเงินที่พร้อมเสีย 100% นี่เรียกว่า risk management หรือการบริหารความเสี่ยง
(รู้สึกไม่แปลกใจที่พี่เหม็งบริหารความเสี่ยงเก่งมาก เพราะสงสัยในช่วงวัยหนุ่ม น่าจะบริหารเสน่ห์มาเยอะ เลยนำหลักการบริหารเสน่ห์มาบริหารความเสี่ยงด้านการเงินแทน)
พี่เหม็งฝากไว้อีกคำสอนว่า เราต้องหาบาลานซ์ให้เจอระหว่าง “เงินทุน” และ “เวลา” ในวัยที่ยังน้อย เรามีเวลาเยอะแต่อาจไม่ได้มีเงินทุนมาก จึงควรลงน้อย ๆ เพราะเวลามีอีกยาว พออายุมากขึ้นหน่อย เงินทุนก็น่าจะมีมากขึ้น แต่เวลากลับเริ่มน้อยลง บาลานซ์จึงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของการปลดล็อคเส้นทางสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน
ขอกล่าวสั้น ๆ เป็นการปิดท้ายว่า น้ำลูกตาลสดที่พี่เหม็งให้พวกเราทานในวันนั้นคือเดอะเบส มันอร่อย wow มาก รู้สึกประทับใจน้ำลูกตาลสดในวันนั้นมิลืมเลือน (และแน่นอน ในตัวพี่เหม็งด้วย!)