ปี 2023 เป็นปีแห่งความหักมุมจริง ๆ เพราะดัชนี S&P 500 ได้ทำเซอร์ไพรส์ใหญ่ท่ามกลางสถานการณ์ดอกเบี้ยที่ยังสูง โดยพุ่งขึ้นกว่า 24% ท้าทายหลายการคาดการณ์ไปมาก!
ผู้ชนะ
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้สร้างความตื่นเต้นให้ผู้คนไปไม่น้อย ทำให้ภาคเทคโนโลยีเป็นแชมป์ที่ไม่มีใครเทียบเคียง ด้วยผลตอบแทนสูงถึง 56% โดยมีบริษัทชิป Nvidia นำทัพขึ้นไปกว่า 239% จากความต้องการชิป AI ที่พุ่งสูง นอกจากนี้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Microsoft ก็สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยม ซึ่งในภาพรวมแล้ว “Magnificent Seven” ซึ่งเป็น “ชมรม” ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Alphabet, Amazon, Tesla และ Meta ก็ได้ขับเคลื่อนผลตอบแทนของตลาดถึง 75% ชี้ให้เห็นถึงความโดดเด่นที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มบริษัทยักษ์ด้านเทคโนโลยี
อีกผู้ชนะที่น่าสนใจคือภาคบริการสื่อสาร ที่ทะยานขึ้นกว่า 54% โดยมีตั้งแต่บริษัทสื่อและอินเทอร์เน็ต ไปจนถึงผู้ให้บริการโทรคมนาคมและบรอดแบนด์ ที่อาจได้รับประโยชน์จากศักยภาพของ AI (Generative AI) อันดับหนึ่งต้องยกให้ Meta ที่เพิ่มขึ้น กว่า 194% ตามด้วยบริษัทอย่าง Netflix, Alphabet และ Take-Two Interactive ก็มีแรงขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งเช่นกัน
หุ้นสินค้าประเภทความต้องการขึ้นอยู่กับสภาวะของเศรษฐกิจ (Consumer Cyclical) และสินค้าหรือบริการที่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นพื้นฐาน (Discretionary) ก็ไม่น้อยหน้าเลย โดยมีผลตอบแทนอยู่ที่ 41% จากชื่ออันคุ้นเคยอย่าง Amazon, Home Depot และ Tesla ด้วยผลตอบแทนอย่างน้อยเลขสองหลัก หนุนหลังด้วยยอดขายปลีกที่แข็งแกร่ง และอีกผู้ประกอบการที่ควรเอ่ยถึง คือธุรกิจเรือสำราญอย่าง Royal Caribbean ก็ประสบความสำเร็จจากความต้องการเดินทางที่ฟื้นตัว
ผู้แพ้
ทางตรงกันข้าม ภาคดั้งเดิมอย่างสาธารณูปโภคเผชิญกับความท้าทายซึ่งได้รับผลตอบแทนลดลง 10% เพราะความน่าสนใจที่ลดลงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ ทำให้ผู้ลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนที่อื่น
ภาคพลังงานก็แอบมีสะดุดไปไม่น้อย โดยถูกฉุดลงจากราคาน้ำมันที่ลดลง 10% ถึงแม้โอเปก (OPEC) จะลดกำลังการผลิต และผู้เล่นรายใหญ่เช่น Devon Energy และ Chevron ยังต้องเผชิญกับการพลาดเป้าการผลิตและโรงกลั่นที่ได้ซ้ำเติมปัญหา
สุดท้ายที่ต้องเอ่ยคือสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานและด้านความมั่นคง โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ที่ต้องเผชิญกับภาวะถดถอยมากที่สุด เนื่องจากผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัดจึงหันไปหาทางเลือกที่ประหยัดขึ้น
Top 10 ระยะ 5 และ 20 ปี ที่ผ่านมา
หากขยับออกมาสักนิดและพิจารณาผลตอบแทนรวมแบบ 5 ปีที่ผ่านมา บริษัท Enphase Energy ซึ่งเป็นบริษัทผลิตโซลาร์เซลล์และสถานีชาร์จรถไฟฟ้าในรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ครองตำแหน่งสูงสุดด้วยผลตอบแทนกว่า 1,771% รองลงมาเป็นของ Nvidia ยักษ์ผู้ผลิตชิปเจ้าใหญ่นั่นเอง โดยปี 2023 บริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของอเมริกาได้ทะลุข้ามหลักทรัพย์ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่เคยทำได้ เช่น Apple, Amazon และ Microsoft
อันดับสามตกเป็นของ Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้เพิ่มผลผลิตอย่างน่าประทับใจถึง 40% ในปี 2022 เอาชนะแบรนด์ดั้งเดิมอย่าง Volkswagen (+10%) และ GM (+13%) แต่ก็ยังตามหลัง BYD จากจีน ที่กลายเป็นแบรนด์รถอีวีขายดีที่สุดของโลก
และสำหรับมุมมองที่กว้างสุดหรือ 20 ปีที่ผ่านมา คงไม่พ้น Apple ที่ทะยานขึ้นแรงมากจริง ๆ โดยผลตอบแทนกว่า 59,918% และยังมีบริษัทอื่น ๆ ที่สร้างผลตอบแทนได้น่าทึ่งไม่แพ้กัน
เห็นได้ชัดว่ามีหุ้นพุ่งทะลุ 10,000% ถึง 6 ตัว โดยหัวแถวคือแอปเปิ้ล มอนสเตอร์ และเอ็นวิเดีย อาจจะด้วยสาเหตุที่ว่าหุ้นแอปเปิ้ลและมอนสเตอร์เคยซื้อขายที่ราคาแค่เซ็นต์เท่านั้นในยุค 80 ส่วนอินทูอิทิฟ เซอร์จิคอล (#4) เข้าตลาดปี 2000 ผลิตหุ่นยนต์สำหรับการผ่าตัด ตามด้วยเน็ตฟลิกซ์ (#6) โกยผลตอบแทนสูงถึง 13,442% เข้าตลาดปี 2002
โดยรวมแล้วหุ้นที่ติดท็อปในระยะ 20 ปีที่่ผ่านมากระจายไปหลายภาคส่วน ตั้งแต่ เทคโนโลยี สาธารณสุข และสินค้าฟุ่มเฟือย ที่เป็นดาวรุ่งมากที่สุด
การคาดการณ์อนาคตเป็นเกมที่เสี่ยงเสมอ ซึ่งแน่นอนว่าปี 2024 ก็คงจะคาดการณ์ได้ยากว่าหุ้น growth stock ตัวใหญ่ ๆ จะยังคงมีพลังที่ในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นของสหรัฐฯอยู่หรือไม่ แม้สัญญาณเศรษฐกิจจะดูมั่นคง แต่อัตราดอกเบี้ยอาจจะยังไม่ลดลงเหลือ 2% ในเร็วๆ นี้ และการปะทุจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อระลอกสองได้เช่นกัน โดยรวมแล้วสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างไร ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป