จากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในปัจจัยแวดล้อมสำคัญที่มีผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก จากความกังวลที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ส่งผลให้ต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะมีหุ้นบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
หนึ่งในนั้นก็มีหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ที่จะเสียผลประโยชน์กับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เพราะเมื่อมีการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้ประชาชนที่ต้องการซื้อบ้านต้องผ่อนชำระเพิ่มมากขึ้น อาจส่งผลให้ความต้องการปรับตัวลดลงมาได้ รวมถึงต้นทุนการก่อสร้างที่ต้องเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างเดิม และต้นทุนค่าแรงที่อาจจะปรับเพิ่มได้อีก ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวฉุดกำลังซื้อได้ เพราะต้นทุนดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นนั่นเอง
The FinVerse จะพาไปสำรวจ 5 หุ้นในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2565 มีหลักทรัพย์ไหนบ้างที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกบ้าง
1.FPI – บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน)
• มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 4,297.01 ล้านบาท
• ราคาปิดที่ 2.88 บาท (25 ก.ค.65)
• ค่า P/E อยู่ที่ 11.37 เท่า
• ค่า P/BV 2.24 เท่า
FPI ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัท มีแผนเดินหน้าเปิดตลาดใหม่ สมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI ระบุว่า โดยเฉพาะแถบตลาดยุโรป ซึ่งคาดว่าจะเป็นที่ประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส และจะช่วยขยายฐานลูกค้า และเพิ่มรายได้มากขึ้น ทำให้มั่นใจว่าผลงานปีนี้ จะยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายในระดับ 10% จากปีก่อน ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจ EV BIKE ในอินเดีย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตได้ต่อเนื่องในอนาคต คาดว่า สถานการณ์นี้จะยาวไปถึงไตรมาส 4/2565 และเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท เนื่องจากมีความพร้อมที่จะส่งมอบสินค้าได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว
2.BRI – บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)
• มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 8,270.70 ล้านบาท
• ราคาปิดที่ 10.00 บาท (25 ก.ค.65)
• ค่า P/E อยู่ที่ 10.03 เท่า
• ค่า P/BV 2.21 เท่า
ช่วง 6 เดือนแรกของปี บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่เพียง 2 โครงการ สามารถทำยอดขายรวมได้กว่า 5,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นยอดพรีเซลที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกที่ผ่านมากว่า 2,400 ล้านบาท และไตรมาส 2 อีกกว่า 2,600 ล้านบาท โดยพรีเซลไตรมาส 2 เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 26.7% แสดงถึงศักยภาพของบริษัทฯ ในการพัฒนาแบบบ้านและการคัดเลือกทำเลที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่ทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ริษัทฯ เตรียมเปิดตัวแคมเปญใหม่เพื่อกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัย จึงมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสร้างยอดขาย (พรีเซล) ในปีนี้ได้ถึง 11,000 ล้านบาท ตามเป้าหมาย
3.SC – บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
• มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 14,344.85 ล้านบาท
• ราคาปิดที่ 3.40 บาท (25 ก.ค.65)
• ค่า P/E อยู่ที่ 7.06 เท่า
• ค่า P/BV 0.70 เท่า
บริษัทยังคงเป้ายอดขายปีนี้ที่ 20,000 ล้านบาท และรายได้ยอดขายในครึ่งปีหลังนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรก มาจากการขายบ้านแนวราบยังไปได้ดีต่อเนื่องตลอด ในกลุ่มบ้านราคาระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง มีความสามารถในการกู้ที่ดีและกลุ่มลูกค้าที่จ่ายเงินสด มีสัดส่วนถึง 30% เรียกว่าผลของโควิด-19 ไม่ได้ส่งผลต่อรายได้ และความสามารถทำกำไร อีกทั้งปีนี้ ยอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 8,557 ล้านบาท โดย จะรับรู้รายได้ใครึ่งปีหลังนี้ราว 5,387 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2565 พร้อมกันนี้
4.ROJNA – บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน)
• มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 12,021.75 ล้านบาท
• ราคาปิดที่ 5.95 บาท (25 ก.ค.65)
• ค่า P/E อยู่ที่ 4.87 เท่า
• ค่า P/BV 0.71 เท่า
ROJNA จับมือฮอริษอน พลัส ตั้งโรงงานผลิต ต้นแบบ EV ใน อีอีซี หรือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก แห่งใหม่ บนพื้นที่ 313 ไร่ และสนับสนุนการผลิต EV ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ร่วมสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรให้แก่ประเทศ พร้อมต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องในอนาคต สำหรับการก่อสร้างโรงงานคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมผลิต EV สู่ตลาดภายในปี 2567 เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการใช้งาน EV ได้สะดวกและมีทางเลือกที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นต่อไป
5.RICHY – บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน)
มาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 1,357.93 ล้านบาท
• ราคาปิดที่ 0.86 บาท (25 ก.ค.65)
• ค่า P/E อยู่ที่ 7.96 เท่า
• ค่า P/BV 0.46 เท่า
RICHY ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างร่วมทุนกับกลุ่มโรงพยาบาลวิภาวดีสัดส่วน 40:60 จัดตั้งบริษัทให้บริการสุขภาพและความงามด้านแอนตี้เอจจิ้ง เพื่อขยายฐานรายได้ และกระจายความเสี่ยงธุรกิจ เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดมีการเติบโตสูง จึงทำให้บริษัทฯ ขยายไลน์ธุรกิจจากอสังหาริมทรัพย์ลงทุนธุรกิจนี้ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ โดย RICHY จะเป็นผู้จัดหาสถานที่ ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลวิภาวดีจะจัดหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และระบบการรักษา
โดย RICHY จะทยอยเปิดให้บริการเป็นเฟส เนื่องจากสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ บุคลากรแพทย์เฉพาะทาง โดยเฉพาะด้านนี้ค่อนข้างหายาก และต้องใช้เวลา อีกทั้งอยู่ระหว่างขออนุญาตทางการแพทย์ และเตรียมสถานที่ โดยสาขาแรกที่จะเปิดจะอยู่ภายในโครงการเดอะริช เพลินจิต-นานา คาดว่าจะเปิดบริการได้ภายในปลายปี 2565 หรืออย่างช้าในช่วงต้นปี 2566 โดยเจาะกลุ่มลูกค้าคนไทย และชาวต่างชาติในลำดับต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้อาจจะต้องใช้ข้อมูหลายรอบด้าน เพื่อทำการประเมินปัจจัยแวดล้อมหลายส่วนเพื่อนำมาประกอบการก่อนการตัดสินใจเข้าไปลงทุน
แหล่งข้อมูลที่มา
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9650000067144
https://www.bangkokbiznews.com/business/1014387
https://mgronline.com/stockmarket/detail/9650000069742
https://www.kaohoon.com/column/542187
https://mgronline.com/business/detail/9650000066448