เป็นอีกครั้งที่เรื่องหนี้สินของพี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯกลับมาเป็นที่พูดถึง ที่ใช้คำว่า “อีกครั้ง” ก็เพราะอันที่จริงแล้วปัญหานี้ก็เคยถูกพูดถึงมาก่อนเมื่อหลายปีที่แล้ว
ปัจจุบันเพดานหนี้ของสหรัฐฯกลับมาเป็นหัวข้อที่คงสร้างความปั่นป่วนไม่ใช่น้อย เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามที่จะเพิ่มความสามารถในการกู้ยืมให้สูงสุด
เพราะหากไม่สามารถดำเนินการแก้ไขได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าเราอาจเห็นการ “ผิดนัดชำระหนี้” (Debt default) ที่จะส่งผลกระทบโดยกว้าง ซึ่งนอกจากจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯสั่นสะเทือน ก็ยังสามารถส่งคลื่นไปทั่วโลกได้อีกด้วย
ย้อนไทม์ไลน์หนี้สหรัฐฯกันซักนิด
ก่อนจะเข้าประเด็นเกี่ยวกับเพดานนี้ (Debt ceiling) อาจจะต้องเล่าโดยสังเขปถึงปัญหาหนี้สินของสหรัฐฯ โดยหนี้สหรัฐฯเพิ่มขึ้นเมื่อรัฐบาลใช้จ่ายเกินรายได้ หนี้เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในยุคปี 80 หลังจากการลดภาษีจำนวนมากของยุคประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ซึ่งทำให้รายได้ภาษีลดลง
ในช่วงทศวรรษที่ 90 การใช้จ่ายด้านการป้องกันที่ลดลงและเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูช่วยได้ชั่วคราว แต่ฟองสบู่ดอทคอมแตก และภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงต้นทศวรรษ 2000 นำไปสู่การลดภาษีมากขึ้น และกิจกรรมทางทหารที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะต่อประเทศอิรักและอัฟกานิสถาน
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ในปี 2008 เรียกร้องให้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยเหลือธนาคารและบริการต่าง ๆ ทางสังคม เนื่องจากอัตราการว่างงานพุ่งสูงสุดถึง 10% แม้ว่าการว่างงานจะฟื้นตัวในที่สุด แต่การลดภาษีในปี 2017 ของยุคทรัมป์ยิ่งทำให้หนี้เพิ่มขึ้นมากถึง 7.8 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง นอกจากนี้ การระบาดใหญ่ของ covid-19 จำเป็นต้องใช้เงินมากถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อพยุงเศรษฐกิจ
จะเกิดอะไรขึ้น หากไม่เร่งแก้ไข?
การจะเข้าใจเพดานหนี้นี้ ให้ลองคิดซะว่ารัฐบาลใช้วงเงินบัตรเครดิตจนหมด และไม่สามารถยืมเงินได้อีก แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้สหรัฐฯ อยู่ในสถานะที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยง เนื่องจากการผิดนัดชำระหนี้อาจนำไปสู่ปัญหามากมายทางเศรษฐกิจ
ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในทันทีคือการสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถที่จะชำระหนี้ ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มหรือผู้คิดค้นนโยบายอาจเรียกร้องให้ขยับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นสำหรับการกู้ยืมในอนาคต ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาล ธุรกิจ และผู้บริโภคสูงขึ้นตามลำดับ
การผิดนัดชำระหนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกอีกด้วย เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินสำรองของโลก การผิดนัดชำระหนี้อาจก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในตลาดการเงินทั่วโลก
สิ่งนี้อาจนำไปสู่การเร่งรีบไปยังสกุลเงินอื่น เช่น หยวนจีน ซึ่งจะทำให้สถานะของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในตลาดโลก หรือหันกลับมาใช้ทองคำมากขึ้น ซึ่งพักหลังก็อาจเห็นได้ว่าหลายประเทศมีการสำรองทองคำมากขึ้น ประเทศไทยเองก็เช่นกัน
เงินเฟ้อ
เงินเฟ้อเป็นอีกหนึ่งความกังวลหลักที่เกิดจากการผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถกู้ยืมเงินเพิ่มเติมได้ จึงอาจใช้วิธีพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่าย ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นนี้จะทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ลดทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค และทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยขั้นรุนแรง
หายนะทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจะไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ การผิดนัดชำระหนี้อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขั้นรุนแรง (Deep recession) เนื่องจากธุรกิจและผู้บริโภคลดการใช้จ่ายเนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นซ้ำเติมความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
ผลกระทบต่อ SMEs
การใช้จ่ายที่ลดลงนี้จะนำไปสู่การสูญเสียงานและอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น ซึ่งอันที่จริงได้สะท้อนออกมาให้เห็นในข่าวบ่อย ๆ ว่าบริษัทใหญ่ในสหรัฐฯได้เลย์ออฟพนักงานไปหลักหลายพันคนในช่วงปีที่ผ่านมา
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จะมีความเสี่ยงเป็นพิเศษในสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยเงื่อนไขด้านสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลง ธุรกิจ SME อาจประสบปัญหาในการเข้าถึงเงินทุนเพื่อดำเนินกิจการต่อไป ซึ่งนำไปสู่การปิดกิจการและการสูญเสียงานเพิ่มเติม
แต่การเพิ่มเพดาน ในระยะยาวอาจไม่ใช่เรื่องดีนัก
เพื่อหลีกเลี่ยงผลร้ายเหล่านี้ รัฐบาลสหรัฐฯจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบรรลุข้อตกลงในการเพิ่มเพดานหนี้ การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ป้องกันการผิดนัดชำระหนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณให้โลกรู้ว่าสหรัฐฯมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีทางการเงินของตน สิ่งนี้จะช่วยรักษาเสถียรภาพในตลาดการเงินโลกและปกป้องสุขภาพของเศรษฐกิจ
แต่แน่นอนว่าในระยะยาว ท้ายที่สุดแล้วหากสหรัฐฯเอาแต่หันมาพึ่งการเพิ่มเพดานหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่จัดการกับปัญหาที่แท้จริง เช่น นโยบายการเงินและการคลัง คงไม่ใช่กลยุทธ์ที่ยั่งยืนนัก เพราะแม้ว่าอาจดูเหมือนสหรัฐฯเพิ่มเพดานหนี้ไปเรื่อย ๆ ได้ แต่การปฏิบัติเช่นนี้ไม่ยั่งยืนในระยะยาว
การเพิ่มเพดานหนี้อย่างต่อเนื่องทำให้รัฐบาลมีหนี้สะสมมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และความเชื่อถือของประชาชนต่อความสามารถของประเทศในการชำระหนี้ลดลง
พอถึงจุด ๆ นึง ระดับหนี้ที่มากเกินไปอาจนำไปสู่ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นสำหรับความเสี่ยงที่กำลังเจอ และสิ่งนี้จะมีแต่เพิ่มความตึงเครียดให้กับการเงินของรัฐบาล และอาจนำไปสู่วงจรอุบาทว์ของการเพิ่มหนี้และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ในระยะยาว สหรัฐฯ จำเป็นต้องจัดการกับความท้าทายทางการคลังโดยหาสมดุลระหว่างการใช้จ่าย การสร้างรายได้ และการจัดการหนี้ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เช่น การปฏิรูปภาษี การลดการใช้จ่าย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
การเพิ่มเพดานหนี้อย่างต่อเนื่องโดยไม่จัดการกับปัญหาทางการคลังย่อมส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางการเงินและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในที่สุด
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
ดังนั้นจำเป็นจะต้องมีการปฏิรูปอย่างรอบด้าน เพื่อจัดการกับการใช้จ่าย การสร้างรายได้ และการจัดการหนี้ เพื่อให้มั่นใจถึงเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาวและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความสำคัญของการแก้ไขปัญหาเพดานหนี้ไม่ควรเป็นที่น่าเป็นห่วงเฉพาะในสหรัฐฯ เพราะผลเสียที่อาจเกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบไปทั่วโลก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้กำหนดนโยบายที่จะหาทางออกเพื่อป้องกันผลลัพธ์ที่เลวร้าย และรับประกันเสถียรภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลก